วันจันทร์, พฤษภาคม ๑๒, ๒๕๕๑

แถลงการณ์กลุ่มนักศึกษา มหาวิทยาลัยถนนคนเดิน : ว่าด้วยการก่อสร้างตึกเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ราคา 21 ล้าน!!!

แถลงการณ์กลุ่มนักศึกษา มหาวิทยาลัยถนนคนเดิน

จากที่สำนักอธิการบดี ได้อนุมัติดำเนินการสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ณ บริเวณลานจอดรถ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเหมาะสมของพื้นที่ที่ดำเนินการสร้างแล้วจะเห็นว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมีการก่อสร้างใดๆลง ณ บริเวณพื้นที่แห่งนี้อีก เนื่องจาก

1. พื้นที่บริเวณลานจอดรถหน้าคณะสังคมศาสตร์ล้อมรอบไปด้วยตึกเรียนคณะต่างๆอย่างแน่นขนัด ตั้งแต่อาคารหอสมุดไปจนถึงอาคารคณะมนุษยศาสตร์รวมทั้งอาคารคณะวิทยาศาสตร์และอาคารเรียนรวม RB3 จะเห็นได้ชัดเจนว่า พื้นที่นี้เป็นศูนย์รวมเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยังอาคารอื่นๆได้มากมาย ถนนบริเวณลานจอดรถหน้าคณะสังคมศาสตร์จึงเป็นจุดที่มีการจราจรพลุกพล่านเป็นประจำ

ในเวลาเรียนปกติแล้วลานจอดรถทั้งที่คณะมนุษยศาสตร์คณะสังคมศาสตร์ รวมทั้งอาคาร RB3 ก็ยังมีการจอดรถอย่างหนาแน่น แสดงให้เห็นว่าลานจอดรถที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว ดังนั้นลานจอดรถบริเวณหน้าคณะสังคมศาสตร์จึงเป็นที่จอดรถที่สะดวกและจำเป็นที่สุดสำหรับนักศึกษาและประชาชนที่เข้ามาติดต่อธุระ อีกทั้งยังไม่มีการจัดหาบริเวณที่จอดรถถาวรที่เหมาะสมไว้รองรับ อันจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากเมื่อมหาวิทยาลัยเปิดเรียนในภาคการศึกษาปกติ

2. จากการที่พื้นที่บริเวณลานจอดรถหน้าคณะสังคมศาสตร์มีจำนวนรถผ่านหนาแน่น ย่อมมีมลพิษมากเป็นปกติ แต่ถึงกระนั้นลานจอดรถหน้าคณะสังคมศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นลานกว้างและมีต้นไม้อยู่จำนวนมากก็ยังสามารถช่วยให้ระบายลมและมลพิษได้คล่องตัวขึ้น ดังนั้นการตัดต้นไม้และสร้างอาคารเพิ่มขึ้นในบริเวณลานจอดรถหน้าคณะสังคมศาสตร์มีแต่จะทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเป็นจุดอับลม มลพิษไม่สามารถระบายออกไปได้อย่างคล่องตัว ซึ่งในระยะยาวแล้วอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจได้

3. การสร้างตึกบริเวณลานจอดรถหน้าคณะสังคมศาสตร์ไม่ช่วยให้จำนวนรถน้อยลงแต่อย่างใด นักศึกษาที่มิได้พักในหอพักของมหาวิทยาลัยส่วนมากมีความจำเป็นที่จะต้องนำรถส่วนตัวมาเอง ทางมหาวิทยาลัยเองก็มิได้จัดการระบบขนส่งให้เพียงพอต่อการให้บริการทั้งเส้นทางและจำนวนรถ ดังนั้นการมีที่จอดรถน้อยลงจึงมิใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ

4. การสร้างอาคารในพื้นที่ที่กระทบกระเทือนกับประโยชน์ของคนหมู่มากโดยที่ไม่ได้มีการสอบถามความคิดเห็นหรือทำประชาพิจารณ์จากผู้ที่ได้รับผลกระทบ พื้นที่บริเวณนั้นถูกใช้ประโยชน์มากกว่าการจอดรถ เช่น ซุ้มนักศึกษาที่มักจะมีกิจกรรม การแข่งกีฬาบอลภายในชั้นปีและระหว่างภาควิชา งานเลี้ยงเฟรชชี่ ขันโตก แต๊งค์มอ ประชุม 4 ชั้นปี ฯลฯ มีนักศึกษาได้รับผลกระทบ ตลอดจนอาจารย์ บุคลากรคณะสังคม พนักงานที่ขายของตรงซีเอ็มยูช๊อป ธนาคารในละแวก การตัดสินใจสร้างโครงการโดยที่ไม่มีการชี้แจงล่วงหน้าโดยเพิกเฉยต่อนักศึกษาและผู้ที่ได้รับผลกระทบ แสดงถึงความไม่ใส่ใจและไม่บริสุทธิ์ใจในการบริหารงานอย่างยิ่ง

5. การก่อสร้างตึกเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นอาคารโปร่ง 2 ชั้น ชั้น 1 เป็นลานโล่ง สำหรับจัดนิทรรศการ ชั้น 2 จะมีระเบียงโดยรอบอาคาร ลักษณะอาคารจะเป็นศาลา 9 เหลี่ยม มีพื้นที่ใช้งาน 500 ตารางเมตร ใช้เป็นเพียงสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลับใช้งบประมาณสูงถึง 21 ล้านบาท หากเปรียบเทียบงบประมาณการก่อสร้างตึกเฉลิมพระเกียรติกับงบประมาณที่ใช้ในการสร้างอาคารเรียนอื่น เช่น อาคารเรียนคณะบริหารธุรกิจ เป็นอาคารเรียนสำหรับนักศึกษา ความสูงประมาณ 5 ชั้น กลับใช้งบประมาณในการก่อสร้างเพียง 18 ล้านบาท แต่สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับการศึกษาและการวิจัยได้มากมาย

6. เมื่อพิจารณาจากงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ลงทุนไปในการก่อสร้างนี้แล้ว และคำนึงถึงเป้าหมายของการสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติที่ใช้เป็นเพียงสถานที่จัดแสดงนิทรรศการ จะเห็นว่ามีพื้นที่หลายที่ในมหาวิทยาลัยที่ไม่ถูกใช้ประโยชน์ และมีอีกหลายแห่งที่ใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้มกับจำนวนงบประมาณก่อสร้าง ดังจะเห็นตัวอย่างได้จาก หอศิลป์ปิ่น มาลา ศาลาธรรม และสวนปาล์ม เป็นต้น ซึ่งขัดกับหลักทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจน มหาวิทยาลัยมีทางเลือกอีกมากที่จะใช้เป็นพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร ซึ่งนอกจากจะเป็นการบริหารงบประมาณอย่างพอเพียงแล้วยังเป็นการบริหารพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า

การที่อนุมัติโครงการก่อสร้างที่ส่งผลกระทบต่อคนหมู่มากโดยมิได้สอบถามถึงความสมัครใจและไม่มีการชี้แจงล่วงหน้า อีกทั้งใช้เงินจำนวนถึง 21 ล้านบาทเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ดังนั้นเรากลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยถนนคนเดิน จึงขอประณามการกระทำของสำนักงานอธิการบดี ในครั้งนี้

กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยถนนคนเดิน
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2551
........................................................
จันทร์ 12
พฤษภา 51

แก้ไขล่าสุด
อังคาร 13
พฤษภา 51

วันศุกร์, พฤษภาคม ๐๒, ๒๕๕๑

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังก่อกระแส ‘ละคอนแขวนคอ’ ยุคใหม่




ภาพการใช้ธงชาติ ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคราวขับไล่ทักษิณมีการใช้ธงชาติ
และคำว่า "กู้ชาติ" ในขณะที่กลุ่มดังกล่าวใช้เรื่องธงชาติและสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ที่มา : http://prachatai.com/05web/th/home/12033

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังก่อกระแส ‘ละคอนแขวนคอ’ ยุคใหม่


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เช้าวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2519 กลุ่มขวาจัดที่เรียกตัวเองว่า ชมรมแม่บ้านได้จัดชุมนุมที่ลานพระรูปทรงม้า เพื่อประท้วงรัฐบาลในขณะนั้น อันเกี่ยวเนื่องมาจากวิกฤติการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม การชุมนุมดำเนินไปจนเกือบบ่าย ก็มีบางคนในกลุ่มหยิบยกเอาภาพถ่ายการแสดงละคอนของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ลานโพธิในเที่ยงวันก่อนหน้านั้น (4 ตุลาคม) เพื่อสะท้อนเหตุการณ์แขวนคอช่างไฟฟ้าผู้ประท้วงถนอมที่นครปฐม 2 คน ซึ่งตีพิมพ์ในหน้า 1 ของบางกอกโพสต์ ฉบับวันนั้น (บางกอกโพสต์ออกวันละ 1 กรอบตอนเช้า) มาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใบหน้าผู้แสดงเป็นช่างไฟฟ้าที่กำลังถูกแขวนคอในภาพนั้นเหมือนพระบรมโอรสาธิราช แสดงว่า นักศึกษาจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มจัดตั้งขวาจัดต่างๆในขณะนั้น ได้แพร่กระจายข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอาศัยองค์กรสื่อมวลชนขวาจัด 2 องค์กร คือ นสพ.ดาวสยาม รายวัน และ สถานีวิทยุยานเกราะ เป็นเครื่องมือ โดยสถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศปลุกเร้าอารมณ์ผู้ฟังอย่างหนักไม่หยุดตลอดบ่ายวันที่ 5 ข้ามคืนถึงเช้าวันที่ 6 มีการเรียกร้องให้จัดการกับนักศึกษาขั้นเด็ดขาด กระตุ้นความโกรธแค้นผู้ฟังถึงระดับทีหวังผลให้เกิดการใช้กฎหมู่ทำร้ายนักศึกษา ขณะที่ ดาวสยาม ได้ตีพิมพ์กรอบบ่ายเพิ่มจำนวนเป็นพิเศษ เผยแพร่ทั่วกรุงเทพ ในหน้า 1 เกือบเต็มหน้า ได้ตีพิมพ์ขยายรูปที่กล่าวหาว่าเป็นการ “แขวนคอหุ่นเหมือนฟ้าชาย” (นี่คือคำพาดหัว ดาวสยาม ฉบับเช้าวันที่ 6 ตุลา ขอให้สังเกตว่า การปลุกระดมนี้วางอยู่บนการโกหกเพียงใด เพราะการ “แขวนคอ” ใช้คนแสดงจริง ไม่ใช่หุ่น)

ฝ่ายศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้แถลงข่าว บอกเล่าความจริงของความเป็นมาของการแสดงละคอนประท้วงถนอม (ซึ่งเป็นกิจกรรมของนักศึกษาธรรมศาสตร์เอง ไม่ใช่การจัดของศูนย์ฯ) และได้ยืนยันว่ายินดีจะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนตามกระบวนการทางกฎหมายทุกอย่าง ทั้งยังได้นัดกับนายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้าพบเพื่อชี้แจงในเช้าวันรุ่งขึ้น

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือตั้งแต่ช่วงบ่าย ช่วงกลางคืน วันที่ 5 ตุลาคม ถึงช่วงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม คือ การระดมกำลังจัดตั้งติดอาวุธของพวกขวาจัดอย่างขนานใหญ่ บรรดาผู้บงการของพวกเขาทราบดีว่า ถ้าปล่อยให้มีการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายและกระบวนการทางการเมืองแบบปกติ คือ ให้โอกาสนักศึกษาชี้แจงกับเจ้าหน้าที่และต่อสู้คดี และให้โอกาสนักศึกษาได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป คำโกหกของพวกเขา ก็จะไม่เป็นผล เพราะไม่เป็นเรื่องยากที่จะแสดงให้เห็นว่า ละคอนที่แสดงที่ลานโพธินั้น คือละคอนสะท้อนการฆ่าแขวนคอช่างไฟฟ้าที่นครปฐมเท่านั้น ไม่มีเนื้อหาใดๆเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เลย ใบหน้าของผู้แสดงก็ไม่มีการตกแต่งให้เหมือนกับรัชทายาท อย่างที่มีการปล่อยข่าวแต่อย่างใด

ดังนั้น บรรดาผู้บงการขวาจัดจึงเร่งระดมอันธพาลการเมือง และกำลังติดอาวุธของรัฐบางส่วนที่พวกเขาควบคุมได้โดยตรง เข้าทำการปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่คืนวันที่ 5 และเริ่มโจมตีประปรายตั้งแต่กลางดึกคืนนั้น และโดยไม่รอให้ฟ้าสว่างในเช้าวันที่ 6 พวกเขาก็สังการให้กำลังเหล่านั้นทำการโจมตีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเต็มที่พร้อมเพรียงกัน

สิ่งที่ตามมาคือ การฆ่าหมู่สยดสยองที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
........................................................


ใครๆก็ควรจะนึกว่า หลังจากการฆ่าหมู่นั้นผ่านไป 30 ปี การปลุมระดมโดยข้ออ้างว่า ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ต้องเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นอีก

แต่ในระยะ 2 ปีเศษที่ผ่านมา นสพ.-วิทยุ-โทรทัศน์ ของกลุ่มผู้จัดการ และกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รื้อฟื้นการใช้ข้ออ้างทางการเมืองนี้ มาเล่นงานผู้ที่พวกเขาไม่เห็นด้วยอีก

ตั้งแต่ต้น พวกเขากุเรื่องว่า มีคนจะล่วงละเมิด “พระราชอำนาจ” ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้พวกเขาต้องประกาศว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง”

การรณรงค์นี้ยกระดับความเข้มข้นและความหลอกลวงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (พฤษภาคม 2549) ได้มีการสร้างนิทานหลอกเด็กเรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์” ขึ้น แต่ขอให้สังเกตว่า เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ในตอนนั้น พวกเขายังไม่กล้าถึงขั้นกล่าวหาคู่ต่อสู้ทางการเมืองตรงๆว่า ต้องการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ เพียงแต่ใช้คำที่ฟังดูขึงขังน่ากลัวนี้ มาขู่โดยนัยยะ

สิ่งที่พวกเขาเสนอในขณะนั้น คือ มีผู้กำลังทำให้สถาบันกษัตริย์เป็น”เพียงสัญลักษณ์” อันทีจริง เรื่องนี้เป็นเรื่องยกเมฆ แต่ทีตลกคือ ในโลกยุคปัจจุบัน การเป็น”สัญลักษณ์” ของประชาชาติหนี่งที่มีคน 60 กว่าล้าน ยังถือเป็นเรื่อง “หมิ่น” หรือ? การเป็น “สัญลักษณ์” ของคน 60 กว่าล้าน จะเป็นเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร?

ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังพูดราวกับว่า เรากำลังอยู่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช การพูดเรื่องการเป็น “เพียงสัญลักษณ์” ของพระมหากษัตริย์กลายเป็นเรื่อง “หมิ่น” ขึ้นมาทันที

เรื่องยกเมฆที่เผยแพร่อย่างเป็นทางการนี้ ที่ยังต้องรักษา “ความน่าเชื่อ” บางอย่างภายนอกไว้ ได้รับการประสานกับเรื่องยกเมฆทีเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตที่มีลักษณะโกหกแบบสุดๆ เพราะไม่ต้องห่วงเรื่องการตรวจสอบใดๆ ทีหวังว่า ด้วยการเผยแพร่ซ้ำๆๆๆทางอีเมล์ จะทำให้คนเริ่มเชื่อขึ้นบ้าง อย่างกรณีปล่อยข่าวว่ามีศูนย์บัญชาการคอมพิวเตอร์ในทำเนียบรัฐบาลเผยแพร่ข้อมูลหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทางอินเตอร์เน็ตผ่านระบบดาวเทียม เป็นต้น
........................................................
แต่การโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ของกลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตรในปี 2549 เมื่อเทียบกับปีนี้แล้ว ก็ยังไม่เทียบเท่าในระดับความโกหก และความเป็นไปได้ทีจะนำมาซึ่งผลเสียหายร้ายแรง

ปีนี้ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้เขียนในผู้จัดการว่า มี “ผู้ต้องการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ” (ขณะที่ในช่วงก่อกระแส “ปฏิญญาฟินแลนด์” เขายังไม่กล้า “ฟันธง” ลงไปเช่นนี้)

การเคลื่อนไหวปลุกกระแส “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ของผู้จัดการ-พันธมิตร ได้ถึงขั้นที่เรียกว่า absurd (ไร้เหตุผลถึงขั้นน่าหัวร่อ) และ paranoid (โรคหวาดระแวง) ที่การเขียนถ้อยคำบนผ้าสีธงชาติ ที่มีกำเนิดจากวงการเชียร์กีฬาร่วมสมัย และได้กลายเป็นเรื่องที่ทำกันปกติ แม้แต่ในประเทศไทยเอง (ดังที่มีคนเอาภาพการชุมนุมของพันธมิตรเองมาแสดงให้เห็นว่าผู้ร่วมชุมนุมบางคนก็ทำกัน) นี่เป็นส่วนหนี่งของวัฒนธรรมสมัยใหม่ ที่ทุกคนเห็นเป็นเรื่องปกติไปนานแล้ว

แต่กลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตร ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหา “ความมั่นคงของประเทศ” ที่ถึงขั้นต้องหาคนผิดมาดำเนินคดีข้ามประเทศ!

คนเหล่านี้ ไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย

ระดับความบ้าคลั่งในการก่อกระส “ละคอนแขวนคอ”ยุคใหม่ ของคนกลุ่มนี้ ได้ถึงจุดที่อันตรายอย่างยิ่ง

เมื่อคืนวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ในรายการ Metro Life ของวิทยุผู้จัดการ หนึ่งในโฆษกของรายการ ถึงกับพูดว่า ในเหตุการณ์ 6 ตุลา ระหว่างพวกขวาจัดที่ฆ่าหมู่นักศึกษา กับนักศึกษาที่ถูกฆ่าหมู่อย่างสยดสยองนั้น “ใครผิดกันแน่” บอกไม่ได้ (“มีคำถาม”) เท่ากับว่า การฆ่าหมู่คนเช่นนั้น ก็สามารถเป็นเรื่อง “ถูกต้อง” ได้!!

นอกจากนั้น พวกเขายังพูดเป็นนัยยะว่า เหตุการณ์อย่าง 6 ตุลา อาจจะจำเป็น เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์แบบ 6 ตุลา ประเทศไทยก็อาจจะไม่เป็นปกติสุขแบบในปัจจุบัน อาจจะเต็มไปด้วยคนที่ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”!!

“ถ้าวันนั้นเราไม่มีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ไม่มีเหตุการณ์ ขวาพิฆาตซ้าย บ้านเมืองมันจะเป็นอย่างที่เรารู้จักหรือเปล่า ถ้าเรามีคนอย่างโชติศักดิ์จำนวนมากอยู่ในสังคม...”

นั่นคือ ถ้าปล่อยไว้ ไม่ทำการฆ่าหมู่เมื่อ 6 ตุลา ก็จะมี “คนอย่างโชติศักดิ์จำนวนมากอยู่ในสังคม” ทุกวันนี้

นี่คืออะไรถ้าไม่ใช่การสร้างความชอบธรรมให้กับการฆ่าหมู่อย่างกระหายเลือด?

ในรายการวิทยุเดียวกัน ในคืนวันที่ 30 เมษายน โฆษกของรายการถึงขั้นชี้แนะว่า ถ้าใครลงมือใช้ความรุนแรงทำร้ายโชติศักดิ์ ถ้าทำให้หัวแตก ตามกฎหมาย คนลงมือทำร้ายนั้นก็จะถูกลงโทษปรับแค่ 500 บาทเท่านั้น! และเปิดโอกาสให้ผู้ฟังบางคนโทรศัพท์เข้ามาเสนอวิธีทำร้ายร่างกายโชติศักดิ์ มีผู้ฟังคนหนึ่งสนองรับด้วยการโทรศัพท์มาเสนอว่า ให้ใช้วิธี “ชกหน้า โดยกำถ่ายไฟฉายก้อนไว้ในมือ”!!

ผมขอเรียกร้องให้ร่วมกันประณามการเป็น “ดาวสยาม-ยานเกราะ” ยุคใหม่ ของกลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตร

กลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตร กำลีงผลักดันให้สังคมไทยถอยหลังเข้าคลอง ย้อนยุคไปกว่า 30 ปี

ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ต้องจัดการด้วยการอภิปราย โต้แย้ง อย่างใช้เหตุผล ไม่ใช่ปลุกปั่น โดยอ้างสถาบันกษัตริย์ เพื่อนำไปสู่การใช้ความรุนแรงจัดการกับผู้มีความเห็นแตกต่างกับตนอย่างที่กลุ่มผู้จัดการ-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังทำอยู่

........................................................
ที่มา : ประชาไท วันที่ 2 พ.ค. 51 http://prachatai.com/05web/th/home/12043
อ่านเพิ่มเติมเรื่อง
เมื่อการเมืองคุกคามสื่อ: ข่าวเนปาล กับความ (ต้อง) เงียบในไทย ! http://prachatai.com/05web/th/home/12033
คลื่นยามเฝ้าแผ่นดินยั่วยุให้ทำร้ายร่างกายโชติศักดิ์ http://prachatai.com/05web/th/home/12042
........................................................
ศุกร์ 2
พฤษภา 51

วันเสาร์, เมษายน ๒๖, ๒๕๕๑

21.7 ล้านที่ต้องจ่ายเพื่อ Royal Space กับพื้นที่ที่เหลือน้อย


บรรยากาศล้อมรั้วก่อสร้าง


ป้ายแสดงรายละเอียดการก่อสร้าง

อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

งานก่อสร้าง : อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
ปริมาณงาน : คสล.2 ชั้น
ผู้รับจ้าง : หจก.เชียงใหม่เวียงทองก่อสร้าง เลขที่ 29 ถ.ชมดอย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ระยะเวลา : เริ่มตั้งแต่ 8 เมษายน 2551 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552
ค่าก่อสร้าง : 21,700,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน)
ผู้ควบคุมงาน : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้ออกแบบ : หน่วยสถาปัตยกรรมบริการ สำนักงานกองทุน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
.....................................................................................
พื้นที่ดังกล่าวเดิมนั้นรองรับการใช้สอย ซึ่งเป็นที่จอดรถของทั้งผู้ที่มาเรียนคณะสังคมศาสตร์
และผู้ที่ใช้หอสมุดกลาง โดยเฉพาะอาคารหอสมุดนั้น เป็นอาคารสำคัญที่โดยมาตรฐานแล้วต้องทำให้เข้าถึงได้ง่าย

เดิมนั้นการเข้าถึงทั้งจากตีนรถ และตีนคนก็เข้าถึงยากพออยู่แล้ว (จะไม่ชวนคุยถึงเรื่องความเชื่องช้า
ของเครื่องสแกนลายนิ้วมือที่มีอยู่น้อยนิด...ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องถกเถียงกัน) ซึ่งควรจะเอางบประมาณ
ไปสร้างการอำนวยความสะดวกที่ว่าด้วยซ้ำ ถ้าหากจะอยาก "ทำความดี" เพื่อใครๆล่ะก็
ควรจะอยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล และน้ำใจด้วย มิใช่สักแต่ว่าทำอะไรไปโดยที่มุ่งหวังผลระยะสั้น
แต่ในระยะยาวแล้วก็ต้องมาตามแก้ไขกันอย่างนี้

งบประมาณ 21.7 ล้านบาท คงมากพอที่เราจะตั้งคำถามกับการกระทำอะไรโดยลำพัง...

เสาร์ 26
เมษา 51

วันพฤหัสบดี, เมษายน ๑๐, ๒๕๕๑

ไว้อาลัยให้กับสามัญชน...เพื่อนร่วมโลก


ภาพจากสำนักข่าว Al Jazeera (อ้างถึงในประชาไท)

ชีวิตมนุษย์ คนไหนมีค่าเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับ "ความหมาย" ของเขาที่มีในสังคมนั้นๆ
กับข่าว "แรงงานพม่าตายในรถคอนเทนเนอร์" (อ่านข่าวได้จาก
ประชาไท "เหตุเกิดในรถตู้คอนเทนเนอร์...แรงงานพม่าขาดอากาศตาย 54 ศพ" วันที่ 10 เมษา 51
http://www.prachatai.com/05web/th/home/11820) จะทำให้เราได้รู้สึกโศกสลดได้เท่าเทียม
กับคนบางคนหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

แต่การให้ความหมายกับการ "จากไป"ของคนเล็กคนน้อย
ในสังคมไทยเรามิเคยเลย ที่จะได้รับการเข้าใจ (หากจะเข้าข้างตัวเองก็ให้เพิ่มเติมท้ายว่า
"อย่างเป็นประวัติศาสตร์")ทั้งสามัญชน คนในวงการอื่นๆ(ที่ถูกแย่งความเป็น "บิดา" ไปเสียหมด)

จริงอยู่ที่ว่า อาจเป็นการยกย่องคนเล็ก คนน้อยให้เป็น "ฮีโร่" จนโรแมนติกเกินไป
แต่อย่างไรก็ตาม การนำเสนอเรื่องราวของ คนเล็กคนน้อย ก็น่าจะพร้อมให้ถูกวิพากษ์กลับ
อย่างเข้มข้นเช่นเดียวกัน เพื่อมิให้เป็นการประจบประแจงจนเลิดลอย

แรงงานข้ามชาติ ที่มักถูกคิดถึง และพูดถึงอย่างหยาบๆว่า "เป็นแรงงานพม่า" ที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย
"อย่างผิดกฎหมาย" เราที่ไม่เคยเข้าใจความซับซ้อนของพม่า(พอๆกับเข้าใจความซับซ้อนของไทยเอง)
ที่พวกเขา หนีไฟสงคราม และความยากลำบากเข้ามา "หาโอกาสที่ดีกว่าของชีวิต" (มิใช่พึ่งพระบรมโพธิสมภารแน่ๆ
...เช่นเดียวกับบรรพบุรุษชาวจีนของผมที่ได้กระเสือกกระสนมาจากแผ่นดินจีนเพื่อหาทางรอดชีวิตด้วยลำแข้ง)

มิหนำซ้ำ พวกเราเองยังใช้แรงงานพวกเขาให้มาเป็นเสมือนทาสในเรือนยุคใหม่ (โดยเฉพาะแรงงานที่ผิดกฎหมาย จะไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ มิฉะนั้น ตำรวจก็จะจ้องจับให้ร้อง "เพลงชาติ" เพื่อที่จะเป็นข้ออ้าง
ในการ "ไถ" ต่อเจ้าของทาสเหล่านั้น เพื่อให้มีทาสใช้ต่อไปโดยตำรวจไม่เพ่งเล็ง)บ้างก็ถูกนำเข้าสู่อุตสาหกรรม
บริการทางเพศ เช่น สาวไทใหญ่บางคนใน อาบ อบ นวด ย่านรัชดาฯ ที่หน้าตาแยกไม่ออกว่าเป็น "อาหมวย"ที่ไหน แต่พูดไทยไม่ชัด เพราะเธอคือ "ไต" และกรณีอื่นๆที่ผมไม่ทราบอีก

ใน "ความเป็นพม่า" ที่คนไทยยัดเยียดให้ พี่น้องบางคนเป็น "ไต"หรือ"ไทใหญ่" เป็น "มอญ"
หรืออื่นๆ คนเหล่านี้ในไม่ช้า ก็จะถูกผสมและดูดกลืนเข้ามาสู่ "ความเป็นไทย" ยิ่งมีดีกรีความเป็นไทยน้อยเท่าไหร่
พวกเราก็พร้อมที่จะ "กีดกัน"เขา ออกไปจากอาณาบริเวณของความปลอดภัยของเราทุกที

จนกระทั่งเห็น "ความตาย"ของเขา ดุจนรกของคนอื่น ชีวิตของคนอื่น หาใช่พ่อแม่พี่น้องเราไม่


ภาพจาก กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 10 เมษายน 2551

และ่ข่าวนี้ก็คงเป็นข่าวเล็กๆ ที่คงจะไม่ทำให้สังคมไทยตื่นตระหนกเท่ากับข่าว
"ดาราเลิกผัว" "ตัดอัณฑะ" "เมียงู" "เด็กผู้หญิงไม่ใส่กางเกงในไปโรงเรียน"
หรือ "เด็กเอากันก่อน ระหว่าง และหลังวัยเรียน"

ในสถานการณ์ที่คนข้ามรัฐ ลอดรัฐ และพรมแดนของชาติเริ่มสลายไปทุกที ทุกที
จินตนาการของรัฐชาติไทย ก็ยังคับแคบอยู่กับ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" ฐานประวัติศาสตร์แห่งชาติ
คลานออกมาไม่ไกลมากจากศูนย์กลางที่เป็น "วัด และวัง" ก็จะยิ่งทำให้เรา
ไม่เข้าใจ และไม่แม้แต่จะตั้งคำถามใดๆ กับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว

ณ ที่นี้ จึงขออุทิศพื้นที่อันน้อยนิด ระลึกถึงความตาย และการจากไปของคนเล็กคนน้อย ซึ่งเป็นเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกับเรา...

จาก
มนุษย์ผู้มีเชื้อสายที่ปนเประหว่าง จีนไหหลำ จีนแต้จิ๋ว คนยวน คนไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีชื่อจริงเป็น คำบาลี-สันสกฤต และมีชื่อเล่นเป็น คำฝรั่ง...

พฤหัส 10
เมษา 51

วันศุกร์, เมษายน ๐๔, ๒๕๕๑

เมื่อพื้นที่บริการสาธารณะถูกแทนที่ด้วย Royal Space


ภาพถ่ายบริเวณลานจอดรถที่จะถูกแทนที่ด้วย "อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสวนพักผ่อน" ถ่ายเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551
ภาพถ่ายมุมกว้าง บริเวณลานจอดรถที่จะถูกแทนที่ด้วย "อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสวนพักผ่อน"
ถ่ายเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551

หตุเกิดที่
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่นี่เองครับ
ในเบื้องต้นไม่แน่ใจว่า โครงการฯนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร สังเกตเห็นว่ามีการติดตั้งป้ายดังกล่าวช่วงใกล้ๆ ปิดเทอมที่ผ่านมา

สถานที่ตั้ง : พื้นที่บริเวณลานจอดรถ ระหว่างคณะสังคมศาสตรหอประวัติเชียงใหม่ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม

พื้นที่ดังกล่าวในปัจจุบันใช้เป็นที่รองรับการจอดรถยนต์ของอาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรที่เข้ามาใช้บริการ
บริเวณสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะสังคมศาสตร์ และในกิจกรรมประจำปีเช่น งานหนังสือประจำปี
(Book fair)ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฯลฯ

การใช้สอยพื้นที่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะทราบได้ดีว่า ในชั่วโมงเร่งด่วนนั้น
พื้นที่การจอดรถนั้นหาได้ยากแสนเข็ญเพียงใดๆ (แม้พ้นเวลานั้นไปแล้วการได้จอดรถในบริเวณดังกล่าวก็ถือว่า
มีโอกาสไม่มากนัก หากไม่ใช่หลังเลิกเรียน ปิดเทอม หรือวันหยุด)

ทุกวันนี้ผู้ใช้รถยนต์ก็ต้องถ่อไปจอดถึงบริเวณ โรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์ หรือข้างหออ่างแก้วกันอยู่แล้ว (และดูเหมือน
ว่าจะไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ)

แต่ตอนนี้กำลังจะถูกแปลงรูปไปรับใช้อะไรที่เป็นนามธรรมเหลือเกิน...
ข้อความที่พิมพ์ใน
Cut Out ปรากฏดังนี้

"สถานที่ก่อสร้าง
อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสวนพักผ่อน

เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบรอบ 80 พรรษา
ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550

ขอความร่วมมือนำรถยนต์ไปจอดบริเวณข้างหออ่างแก้ว"

...........................................................................................
ศุกร์ 4
เมษา 51

วันพฤหัสบดี, มีนาคม ๒๐, ๒๕๕๑

‘แสงศตวรรษ’ มีลุ้นฉายในไทย แต่ยังไม่พ้นเซ็นเซอร์ จาก ประชาไท


ภาพโปสเตอร์ แสงศตวรรษ

ที่มา : wikipedia

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ในที่สุดภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษจะได้เข้าฉายในเมืองไทย หลังจากที่มีเรื่องขัดแย้งระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบภาพยนตร์กับผู้กำกับ คือ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือเจ้ย เรื่องการเซ็นเซอร์และตัดฉากในภาพยนตร์บางฉาก ทำให้ผู้กำกับภาพยนตร์ไม่พอใจต้องการจะฉายฉบับเต็มที่ยังไม่ได้ตัดฉากออกไป

ขณะเดียวกันทางคณะกรรมการฯ ก็ยืนยันว่าจะไม่มีการฉายในประเทศไทยหากยังไม่มีการตัดฉากออกไปตามที่สั่งนอกจากนี้ยังได้มีการยึดฟิล์มไว้อีกด้วย

เดิมทีภาพยนตร์เรื่อง “แสงศตวรรษ” หรือ Syndrome and a Century เป็นผลงานที่ผู้กำกับบอกว่ามาจากการรวบรวมความทรงจำในวัยเด็กของเขาและของพ่อแม่ ที่เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลที่แถบชนบทเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่คณะกรรมการคัดเลือกให้เป็นหนังที่เข้าฉายในเทศกาล
New Crowned Hope Festival ของกรุงเวียนนา ในวาระฉลองครบรอบวันเกิด 250 ปี ของโมซาร์ท นอกจากนี้ยังได้รับคำชมเชยจากอีกหลายเทศกาลทั่วโลก


อย่างไรก็ดี ในประเทศบ้านเกิดของผู้กำกับเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับถูกสั่งเซ็นเซอร์
6 ฉากที่ดูเหมือนจะล้ำเส้นออกมาในสายตาของคณะกรรมการฯ อาทิเช่น ฉากที่มีพระสงฆ์นั่งเล่นกีต้าร์และเล่นเครื่องบินบังคับ


หลังจากที่มีการต่อสู้มามากกว่าหนึ่งปี เพื่อให้มีการอนุญาตฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศไทย เจ้ย อภิชาตพงศ์ บอกว่าเขาตัดสินใจแล้ว ว่าจะยอมฉายมันโดยใช้เฟรมดำไม่มีเสียง คั่นแทนในฉากที่คณะกรรมการตรวจสอบฯ สั่งตัดออกไป


นอกจากนี้ ผู้กำกับยังได้บอกอีกว่า ในราวๆ เดือนหน้า ภาพยนตร์แสงศตวรรษจะมีการฉาย แต่จะถูกจำกัดให้ฉายเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น


“ผมตัดสินใจที่จะยอมให้ฉายเรื่องนี้เพราะว่า ผมต้องการจะส่งสารบางอย่างไปสู่ผู้ชม”
ผู้กำกับกล่าวแต่ผู้สื่อข่าวเอเอฟพี
“เทปดำที่ไม่มีเสียงนี้แสดงให้เห็นว่า พวกเราถูกทำให้มืดบอดโดยอำนาจได้อย่างไร”


จากเหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว ก่อนที่ผู้กำกับจะได้ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย คณะกรรมการตรวจสอบฯ ได้แสดงความประสงค์ให้อภิชาตพงศ์ตัดฉากออกไป
4 ฉาก ซึ่งประกอบด้วย

ฉากที่แพทย์ได้เผยกับเพื่อนร่วมงานของหล่อนว่า หล่อนซ่อนเหล้าไว้ในขาเทียม

อีกฉากหนึ่งคือฉากที่แพทย์จูบกับแฟนสาวของเขาในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของโรงพยาบาล ก่อนจะล้มลงไปบนพื้นที่มองไม่เห็นในฉาก


อภิชาตพงศ์ พยายามขอร้องต่อเหล่าคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งต่อมากลับกลายเป็นว่า คณะกรรมการฯ พวกนี้สั่งให้ตัดเพิ่มอีกสองฉาก


ผมอยากให้มีการตอบรับจากผู้ชมว่ามันดีหรือแย่ มันเหมาะสมหรือไม่ มากกว่าการจะให้คนเพียงไม่กี่คนมาตัดสินมัน เจ้ยกล่าว

ข้อโต้แย้งที่มีต่อกรณีนี้ ได้จุดฉนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างจริงจัง เกี่ยวกับกฎหมายภาพยนตร์ ซึ่งร่างขึ้นเมื่อ 77 ปีที่แล้ว เพื่อวางระเบียบการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์

กฎหมายนี้ได้ถูกปรับปรุงเมื่อปีที่แล้ว (พรบ.ภาพยนตร์ฯ) โดยเพิ่มระบบการจัดเรตติ้งคนดูเข้าไป แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงให้อำนาจแก่คณะกรรมการตรวจสอบภาพยนตร์ในการตัดและเซ็นเซอร์ภาพยนตร์อยู่ดี


ที่มา

Controversial Thai film to be screened at home , AFP , 18/3/2551

........................................
ตามอ่านบทสัมภาษณ์
ได้ใน โอเพ่นออนไลน์

อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล: ประเทศไทยก็เป็นแบบนี้?

ตีพิมพ์ครั้งแรก: คอลัมน์ Icon นิตยสาร IMAGE ปีที่ 20 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2550
สัมภาษณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550

ติดตามการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยภาพยนตร์ไทยสู่เสรีภาพได้ที
http://www.kickthemachine.com/FreeThai/F



ที่มาภาพ : http://www.sompotboat.com/blog/wp-content/uploads/2007/10/synposter.jpg

ที่มาภาพ : http://i136.photobucket.com/albums/q175/merveillesxx/Syndrome/.jpg

........................................

จาก ประชาไท

วันที่ 19 มีนาคม 2551

........................................

พฤหัส 20

มีนา 51

วันพุธ, มีนาคม ๐๕, ๒๕๕๑

Expenditure on the Royal Family for 2008 Budget


ภาพจาก ธีรนัย จารุวัสตร์ ใน ฟ้าเดียวกัน

Sunday, March 02, 2008

Expenditure


The other day I blogged on the budget for the Bureau of the Royal Household (updated with 2008 figures now). A fellow blogger has e-mailed to point out this thread at Fah Diew Kan which notes that the Thai government budget related to the Royal Family is not limited to the Bureau of the Royal Household. There are a number of other budget items which extend to the Royal Family. For the 2008, they are as per the chart below:

Royal 2008

NOTE: I have dramatically summarised the item details to fit into the chart. I haven't been able to check all figures as they are divided up into so many different PDF files, but some of the figures are available from here (PDF) and here (PDF). If anyone notices additional items in the budget please post a link to the relevant PDF page and the item details and amount.

Download spreadsheet as XLS file here.

NOTE: I am providing these figures as they are in the budget and in the public record. I offer no commentary and pass no judgement on the appropriateness of these figures. They are provided as is. Comments will be strictly moderated.

ที่มา : http://bangkokpundit.blogspot.com/2008/03/expenditure.html
...................................................
พุธ 5
มีนา 51